บทที่ 1 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม
พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มีผลบังคับใช้ตามพระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 ปัจจุบันได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรวม 3 ครั้ง [1] มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 หมวด รวม 33 มาตรา ได้แก่
หมวด 1 บททั่วไป มาตรา 1 - 14
หมวด 2 เขตอำนาจศาล มาตรา 15 - 23
หมวด 3 องค์คณะผู้พิพากษา มาตรา 24 - 31
หมวด 4 การจ่าย การโอน และการเรียกคืนสำนวนคดี มาตรา 32 - 33
1. ความหมายของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมและประโยชน์ที่จะได้รับจากการศึกษาพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
พระธรรมนูญศาลยุติธรรมจัดเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติ ซึ่งมีขอบเขตหรือเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องของการจัดวางรูปองค์กรของศาล การกำหนดอำนาจหน้าที่ของศาล, ผู้พิพากษาไว้ให้แน่นอน ทั้งนี้ เพื่อให้ศาล, ผู้พิพากษาสามารถดำเนินกระบวนพิจารณาอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ผู้ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นพระบิดาแห่งกฎหมายไทย ได้ทรงให้ความหมายของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมเอาไว้ว่า เป็นกฎหมายที่กำหนดและวางระเบียบของศาลยุติธรรม เช่น ศาลมีกี่ชั้น ศาลอะไรบ้าง อำนาจของศาล, ผู้พิพากษา การกำหนดความสัมพันธ์ของอำนาจตุลาการกับอำนาจอื่น ๆ
ประโยชน์ที่จะได้รับจากการศึกษาพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
พระธรรมนูญศาลยุติธรรม จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่มีอรรถคดีทั้งหลายที่จะได้ทราบว่าศาลนั้น ๆ มีอำนาจรับฟ้องและพิจารณาพิพากษาคดีอะไร จะได้ดำเนินการได้อย่างถูกต้อง ช่วยให้ไม่เกิดกรณีการฟ้องร้องผิดศาล ส่วนผู้พิพากษาซึ่งดำเนินกระบวนพิจารณาก็จะได้ทราบถึงอำนาจของศาลที่ตนประจำอยู่ จะได้ดำเนินการพิจารณาพิพากษาคดีให้อยู่แต่ภายในเขตอำนาจศาลและอำนาจของผู้พิพากษาตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ไม่ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยปราศจากอำนาจหรือเกินขอบอำนาจที่กฎหมายกำหนด ซึ่งศาลที่สูงกว่าอาจยกเสียได้[2]
2. ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายและขอบเขตการใช้บังคับ
พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับกฎหมายอื่น เช่น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง, ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา, พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543, พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543, พระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส พ.ศ. 2542 เป็นต้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษากฎหมายต่างๆเหล่านี้ด้วย
สำหรับขอบเขตการใช้บังคับนั้น จะนำไปใช้บังคับกับศาลยุติธรรมต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา รวมตลอดถึงศาลยุติธรรมอื่นซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเหล่านั้น ได้บัญญัติกำหนดให้นำบทบัญญัติของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมไปใช้บังคับโดยอนุโลม[3] เช่น ศาลภาษีอากร, ศาลล้มละลาย ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ, ศาลแรงงาน, ศาลเยาวชนและครอบครัว
3. ลำดับชั้นของศาลยุติธรรม
พระธรรมนูญศาลยุติธรรมฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติกำหนดให้ศาลยุติธรรมมีด้วยกันทั้งหมด 3 ชั้น ได้แก่ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา โดยมีข้อยกเว้นในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น[4]
(1) ศาลชั้นต้น เป็นศาลที่มีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีในชั้นต้น ซึ่งตาม บทบัญญัติของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมได้กำหนดไว้ 2 ส่วน[5] คือ
1) ส่วนที่ 1 ศาลยุติธรรมที่พระธรรมนูญศาลยุติธรรมฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติกำหนดไว้แล้วให้เป็นศาลชั้นต้น ได้แก่
- ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี
- ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี
- ศาลจังหวัด
- ศาลแขวง
2) ส่วนที่ 2 ศาลยุติธรรมอื่นที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดให้เป็นศาลชั้นต้น ซึ่งได้แก่
- ศาลเยาวชนและครอบครัว[6]
- ศาลแรงงาน
- ศาลภาษีอากร[7]
- ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ[8]
- ศาลล้มละลาย[9]
ศาลดังกล่าวมานี้เป็นศาลชำนัญพิเศษ เพราะผู้พิพากษาของศาลต่าง ๆ ดังกล่าว จะมีความชำนาญในการพิจารณาพิพากษาคดี ที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลนั้น ๆ เป็นพิเศษมากกว่าผู้พิพากษาของศาลอื่น ๆ โดยทั่วไป เว้นแต่ศาลเยาวชนและครอบครัว จะเป็นศาลพิเศษ มิใช่ศาลชำนัญพิเศษ เพราะผู้พิพากษาในศาลนี้มิได้มีความชำนาญในการพิจารณาพิพากษาคดีที่อยู่ในอำนาจเป็นพิเศษมากกว่าศาลอื่น ๆ เพียงแต่มีวิธีพิจารณาคดีเป็นพิเศษเท่านั้น[10]
(2) ศาลอุทธรณ์ เป็นศาลสูงชั้นกลาง ซึ่งได้แก่ [11]
1) ศาลอุทธรณ์ มีที่ตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร
2) ศาลอุทธรณ์ภาค ปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 9 ศาล ได้แก่
1) ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีที่ตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร
2) ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีที่ตั้งอยู่ ณ จังหวัดระยอง
3) ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีที่ตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร [12]
4) ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีที่ตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร
5) ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีที่ตั้งอยู่ ณ จังหวัดเชียงใหม่
6) ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีที่ตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร
7) ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีที่ตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร
8) ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีที่ตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร
9) ศาลอุทธรณ์ภาค 9 มีที่ตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร [13]
(3) ศาลฎีกา เป็นศาลสูงสุดของศาลยุติธรรม ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร มีเพียงศาลเดียว จึงไม่มีปัญหาในเรื่องของเขตอำนาจศาล
4. การแบ่งส่วนราชการเป็นแผนกหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น
ศาลยุติธรรมในแต่ละลำดับชั้น ไม่ว่าจะเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา อาจมีการแบ่งส่วนราชการภายในของแต่ละศาลออกเป็นแผนก หรือหน่วยงานที่เรียกชื่อ อย่างอื่น และจะให้มีอำนาจในคดีประเภทใดหรือคดีในท้องที่ใดท้องที่หนึ่ง ซึ่งอยู่ภายในเขตอำนาจของศาลนั้นก็สามารถดำเนินการได้ โดยการออกเป็นประกาศของคณะกรรมการ บริหารศาลยุติธรรม และจะต้องส่งไปลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาด้วย[14] เช่น การจัดตั้งแผนกคดีผู้บริโภคในศาลอุทธรณ์ภาค [15] การจัดตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค การจัดตั้งแผนกคดียาเสพติดและแผนกคดีผู้บริโภคในศาลอุทธรณ์[16] การจัดตั้งแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา[17] การจัดตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา[18] เป็นต้น
นอกจากการแบ่งส่วนราชการภายในออกเป็นแผนก หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น ตามหลักเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรมแล้ว ศาลยุติธรรมยังอาจมีการแบ่งส่วนราชการภายในออกเป็นแผนกหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายอื่นอีกด้วย เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 219 วรรคสี่ ได้บัญญัติกำหนดให้มีแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองขึ้นในศาลฎีกา หรือตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 25 ได้บัญญัติกำหนดให้จัดตั้งแผนกคดีล้มละลายขึ้นในศาลฎีกา เพื่อพิจารณาคดีล้มละลายที่อุทธรณ์ขึ้นมา หรือพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 8 วรรคสอง ได้บัญญัติกำหนดให้จัดตั้งแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวขึ้นในศาลจังหวัดทุกศาล เป็นต้น
5. คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.)
พระธรรมนูญศาลยุติธรรมฉบับปัจจุบัน ได้กล่าวถึงคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม แต่มิได้บัญญัติรายละเอียดเกี่ยวกับคณะกรรมการดังกล่าวไว้ ซึ่งรายละเอียดของคณะกรรมการฯ จะมีบัญญัติอยู่ในพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 โดยมีรายละเอียดพอสังเขป ดังนี้
(1) องค์ประกอบ
ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน
กรรมการบริหารศาลยุติธรรม ชั้นศาลละ 4 คน (รวม 12 คน)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ไม่น้อยกว่า 2 คน แต่ไม่เกิน 4 คน[19]
(2) อำนาจหน้าที่
คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม จะมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการบริหารราชการศาลยุติธรรม เฉพาะในส่วนการบริหารงานบุคคล งานธุรการ ให้เป็นไปตามระเบียบ แบบแผน ประเพณีปฏิบัติของราชการศาลยุติธรรม และมีอำนาจหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ออกระเบียบหรือประกาศ หรือมีมติเพื่อการบริหารราชการศาลยุติธรรม ในส่วนที่เกี่ยวกับงานบริหารราชการและงานธุรการของสำนักงานศาลยุติธรรม ให้เป็นไปตามนโยบายของประธานศาลฎีกา รวมทั้งมีอำนาจยับยั้งการบริหารราชการของศาลยุติธรรม หรือสำนักงานศาลยุติธรรมที่ไม่เป็นไปตามระเบียบ ประกาศหรือมตินั้นด้วย เป็นต้น[20]
6. อำนาจหน้าที่ของประธานศาลฎีกา
พระธรรมนูญศาลยุติธรรมฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติกำหนดให้ประธานศาลฎีกา มี
(1) หน้าที่ วางระเบียบราชการฝ่ายตุลาการของศาลยุติธรรม เพื่อให้กิจการของศาลยุติธรรมดำเนินไปโดยเรียบร้อยและเป็นระเบียบเดียวกัน เช่น ระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ว่าด้วยแนวปฏิบัติในการออกหมายจับและหมายค้นในคดีอาญา[21] ระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมว่าด้วยการปล่อยชั่วคราว[22] เป็นต้น และมี
(2) อำนาจ ให้คำแนะนำแก่ผู้พิพากษาในการปฏิบัติตามระเบียบวิธีการต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นโดยกฎหมาย หรือโดยประการอื่นให้เป็นไปโดยถูกต้อง[23] ทั้งนี้เนื่องจากการพิจารณาพิพากษาคดีอรรถคดีของผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม เป็นงานที่จะต้องใช้ความละเอียดรอบคอบและการกลั่นกรองจากผู้พิพากษาที่มีประสบการณ์ ดังนั้น พระธรรมนูญศาลยุติธรรม จึงได้บัญญัติให้ประธานศาลฎีกามีอำนาจสามารถให้คำแนะนำแก่ข้าราชการ ตุลาการในศาลยุติธรรมได้
สำหรับในเรื่องนี้ขอให้ทำความเข้าใจไว้ด้วยว่า เป็นเพียงอำนาจและหน้าที่บางประการของประธานศาลฎีกา ตามที่บัญญัติกำหนดไว้ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ประธานศาลฎีกาหาได้มีอำนาจหน้าที่เพียงเท่าที่กำหนดไว้ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรมแต่อย่างใดไม่ ประธานศาลฎีกายังอาจมีอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติกำหนดไว้ในกฎหมายฉบับอื่น ๆ อีกด้วย เช่น อำนาจการสั่งบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา, อำนาจการสั่งให้ข้าราชการตุลาการไปช่วยทำงานชั่วคราวในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่ราชการศาลยุติธรรมฯ ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543[24] เป็นต้น
7. สำนักงานศาลยุติธรรม
เป็นส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานอิสระ มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับงานธุรการของศาลยุติธรรม งานส่งเสริมงานตุลาการและงานวิชาการ เพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้แก่ศาลยุติธรรม รวมทั้งเสริมสร้างให้การพิจารณาพิพากษาคดีเป็นไปโดยสะดวก รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ[25] ซึ่งแต่เดิมงานดังกล่าวจะอยู่ที่กระทรวงยุติธรรม
สำนักงานศาลยุติธรรม มีเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมซึ่งเป็นข้าราชการศาลยุติธรรม และเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการในสำนักงานศาลยุติธรรม มีหน้าที่ควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งราชการของสำนักงานศาลยุติธรรม ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ โดยขึ้นตรงต่อประธานศาลฎีกา[26] การบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ประธานศาลฎีกาเป็นผู้ดำเนินการเสนอรายชื่อโดยผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) เมื่อได้รับความเห็นชอบแล้วประธานศาลฎีกาจะเป็นผู้มีอำนาจในการสั่งบรรจุและดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป โดยเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมจะมีวาระในการดำรงตำแหน่ง 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้ง เว้นแต่ในกรณีที่ประธานศาลฎีกาโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ได้มีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่งก่อนครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว[27]
8. การจัดตั้ง การยุบเลิก การเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาล
พระธรรมนูญศาลยุติธรรมฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติกำหนดเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการจัดตั้งศาล การยุบเลิกศาล การเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาล โดยให้เป็นอำนาจของเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ในการเสนอความเห็นเรื่องดังกล่าวผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) ไปยังคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงจำนวน สภาพ สถานที่ตั้งและเขตอำนาจศาลตามที่จำเป็น เพื่อให้การอำนวยความยุติธรรมต่อประชาชน เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตลอดราชอาณาจักร[28]
สำหรับในเรื่องการจัดตั้งศาล รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้บัญญัติกำหนดให้ตั้งศาลขึ้นได้ก็แต่โดยการตราเป็นพระราชบัญญัติ[29] เช่น การจัดตั้งศาลจังหวัดที่อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดำเนินการโดยตราเป็นพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลจังหวัดที่อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2550, การจัดตั้งศาลจังหวัดที่อำเภอ พิมาย จังหวัดนครราชสีมา ดำเนินการโดยตราเป็นพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลจังหวัดที่ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. 2550, การจัดตั้งศาลจังหวัดที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดำเนินการโดยตราเป็นพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลจังหวัดที่ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2550 เป็นต้น
ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาล เดิมจะดำเนินการในลักษณะหรือรูปแบบเดียวกันกับการจัดตั้งศาล คือ ดำเนินการโดยตราเป็นพระราชบัญญัติ เช่น พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลจังหวัดปากพนัง พ.ศ. 2544, พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี และศาลอาญาธนบุรี พ.ศ.2549 เป็นต้น แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลโดยการตราเป็นพระราชบัญญัติ จะต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการนาน ทำให้ไม่ทันกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่ทางการปกครอง และไม่เอื้อประโยชน์ในการอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชน ดังนั้น ในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจของศาลชั้นต้น จึงได้เปลี่ยนมาเป็นดำเนินการโดยตราเป็น พระราชกฤษฎีกา[30] ซึ่งจะช่วยทำให้การดำเนินการเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจของศาลชั้นต้น สามารถกระทำได้อย่างคล่องตัวยิ่งขึ้น เช่น พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงสงขลา พ.ศ. 2550, พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงลพบุรี พ.ศ. 2549, พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงอุบลราชธานี พ.ศ. 2547[31] เป็นต้น
นอกจากนั้นก็ยังมีในเรื่องของการยกฐานะศาล ซึ่งจะดำเนินการโดยการตราเป็นพระราชบัญญัติเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น พระราชบัญญัติยกฐานะศาลแขวงดุสิต ศาลแขวงตลิ่งชัน ศาลแขวงปทุมวันและศาลแขวงพระโขนงเป็นศาลจังหวัด พ.ศ. 2549, พระราชบัญญัติ ยกฐานะศาลแขวงแม่สะเรียง ศาลแขวงแม่สอด ศาลแขวงตะกั่วป่า และศาลแขวงหลังสวน เป็นศาลจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2502, พระราชบัญญัติยกฐานะศาลแขวงมีนบุรีเป็นศาลจังหวัด พ.ศ. 2480 เป็นต้น
9. การกำหนดจำนวนผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม
พระธรรมนูญศาลยุติธรรมฉบับปัจจุบัน ได้กำหนดให้คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดจำนวนผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม ให้เหมาะสมตามความจำเป็นแก่ราชการ[32] ไม่ว่าจะเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา ทั้งนี้เนื่องจากท้องที่หรือจังหวัดต่าง ๆ ที่แต่ละศาลตั้งอยู่และรับผิดชอบจะมีอาณาเขตที่ไม่เท่ากัน ตลอดจนความหนาแน่นของจำนวนประชากรก็แตกต่างกัน กรณีดังกล่าวย่อมมีผลต่อจำนวนของคดีที่แต่ละศาลจะต้องรับผิดชอบในการพิจารณาพิพากษา ซึ่งคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมจะเป็นผู้ที่กำหนดจำนวนของผู้พิพากษาที่จะพึงมีในแต่ละศาล ให้เพียงพอและเหมาะสมกับสัดส่วนปริมาณของคดีที่แต่ละศาลรับผิดชอบ[33]
เช่น ประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม เรื่องกำหนดจำนวนผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม ลงวันที่ 29 มีนาคม 2544 กำหนดจำนวนผู้พิพากษาไว้ ดังนี้
ผู้พิพากษาศาลฎีกา จำนวน 123 อัตรา
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ จำนวน 112 อัตรา
ผู้พิพากษาศาลจังหวัดนครปฐม จำนวน 74 อัตรา
ผู้พิพากษาศาลจังหวัดนครปฐมแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว จำนวน 5 อัตรา
ผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดราชบุรี จำนวน 7 อัตรา
1. บทบัญญัติในพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มีทั้งสิ้น 33 มาตรา แบ่งออกเป็น 4 หมวด ดังนี้
หมวด 1 บททั่วไป มี 14 มาตรา
หมวด 2 เขตอำนาจศาล มี 9 มาตรา
หมวด 3 องค์คณะผู้พิพากษา มี 8 มาตรา
หมวด 4 การจ่าย การโอน และการเรียกคืนสำนวนคดี มี 2 มาตรา
2. ในเรื่อง “บททั่วไป” ได้กล่าวถึง ศาลยุติธรรม มี 3 ชั้น (ม.1) คือ
(1) ศาลชั้นต้น (ม.2) ได้แก่
- ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี
- ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี
- ศาลจังหวัด (มีทุกจังหวัด บางจังหวัดอาจมี 2 ศาล)
- ศาลแขวง (จัดตั้งขึ้นตาม พรบ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาในศาลแขวง พ.ศ. 2499)
- ศาลยุติธรรมอื่นที่ พรบ.จัดตั้งศาลนั้นกำหนดให้เป็นศาลชั้นต้น
(2) ศาลอุทธรณ์ ( ม.3) ได้แก่
- ศาลอุทธรณ์
- ศาลอุทธรณ์ภาค ซึ่งมีทั้งสิ้น 9 ภาค
(3) ศาลฎีกา มีศาลเดียว ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร
3. การแบ่งส่วนราชการภายในของศาลยุติธรรม และการกำหนดเขตอำนาจของแต่ละศาลนั้น ให้เป็นอำนาจของ “คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.)” โดยต้องออกเป็นประกาศคณะกรรมการฯ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ได้ต่อเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
4. ประธานศาลฎีกา มีอำนาจหน้าที่ ( ม.5) ดังนี้
(1) วางระเบียบราชการฝ่ายตุลาการของศาลยุติธรรม
(2) ดูแลให้ผู้พิพากษาปฏิบัติตามระเบียบวิธีการต่างๆ ที่กำหนดขึ้นให้เป็นไปโดยถูกต้อง
5. ให้จัดตั้งสำนักงานศาลยุติธรรมขึ้นในศาลยุติธรรม โดยมีเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมเป็นผู้บังคับบัญชา (ม.6) มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
(1) บริหารงานธุรการในศาลยุติธรรม
(2) ดำเนินการเกี่ยวการจัดตั้ง การยุบเลิก หรือการเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาล เพื่อขอความ
เห็นชอบต่อ ก.บ.ศ. ก่อนเสนอขออนุมัติต่อ ครม.
6. กำหนดให้มีตำแหน่งและจำนวนตำแหน่งในศาลยุติธรรม ( ม.8) ดังต่อไปนี้
(1) ศาลฎีกา
- ประธานศาลฎีกา 1 คน
- รองประธานศาลฎีกา มากกว่า 1 คน แต่ไม่เกิน 6 คน
(2) ศาลอุทธรณ์
- ประธานศาลอุทธรณ์ 1 คน
- ประธานศาลอุทธรณ์ภาคๆ ละ 1 คน (ทั้งหมดมี 9 คน)
- รองประธานศาลอุทธรณ์ 1 คน
- รองประธานศาลอุทธรณ์ภาคๆ ละ 1 คน (มีทั้งหมด 9 คน)
(3) ศาลชั้นต้น
- อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น ศาลละ 1 คน
- รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น ศาลละมากกว่า 1 คน แต่ไม่เกิน 3 คน
ทั้งนี้ การแต่งตั้งรองประธานศาลฎีกาและรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น ให้มากกว่า 1 คน แต่ไม่เกิน 6 คน (รองประธานศาลฎีกา) แต่ไม่เกิน 3 คน(รองอธิบดีฯ,รองประธานศาลอุทธรณ์,รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค)ตาม ม.8 ว.1 ตอนท้ายนั้น ต้องเป็นมติของ ก.บ.ศ. โดยความเห็นชอบของประธานศาลฎีกา
หมายเหตุ ก.บ.ศ.หมายถึงคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม
[1] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2550, พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2551
[2] ชุมพล จันทราทิพย์, พระธรรมนูญศาลยุติธรรม. พิมพ์ครั้งที่ 12. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548) หน้า 4 – 6.
[3] บุญเพราะ แสงเทียน, พระธรรมนูญศาลยุติธรรม. (กรุงเทพฯ : บริษัท วิทยพัฒน์ จำกัด, 2544) หน้า 22.
[4] พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 1
[5] พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 2
[6] พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 8 วรรคสี่
[7] พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 12
[8] พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 11
[9] พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 11
[10] บุญเพราะ แสงเทียน, พระธรรมนูญศาลยุติธรรม. (กรุงเทพฯ : บริษัท วิทยพัฒน์ จำกัด, 2544), หน้า 41.
[11] พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 3
[12] พระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน ที่ตั้ง เขตศาล และวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์ภาค (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2543 มาตรา 3
[13] พระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน ที่ตั้ง เขตศาล และวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์ภาค (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2548 มาตรา 3
[14] พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 4
[15] ประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม เรื่องการจัดตั้งแผนกในศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2550
[16] ประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม เรื่องการจัดตั้งแผนกในศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2549
[17] ประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม เรื่องการจัดตั้งแผนกในศาลฎีกา ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2547
[18] ประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม เรื่องการจัดตั้งแผนกในศาลฎีกา (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2548
[19] พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 10
[20] พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 17
[21] ระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ว่าด้วยแนวปฏิบัติในการออกหมายจับและหมายค้นในคดีอาญา พ.ศ.2545 ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2545
[22] ระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ว่าด้วยการปล่อยชั่วคราว พ.ศ. 2548 ลงวันที่ 21
ตุลาคม 2548
[23] พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 5
[24] พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 14, 21
[25] พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 5,6
[26] พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 8
[27] พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 22 (1)
[28] พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 6
[29] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 198
[30] พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 16 วรรคหนึ่ง
[31] พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 3 วรรคท้าย
“การเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวง ให้ประกาศโดยพระราชกฤษฎีกา”
[32] พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 7
[33] ชุมพล จันทราทิพย์, พระธรรมนูญศาลยุติธรรม. พิมพ์ครั้งที่ 12. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548), หน้า 30.
พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มีผลบังคับใช้ตามพระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 ปัจจุบันได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรวม 3 ครั้ง [1] มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 หมวด รวม 33 มาตรา ได้แก่
หมวด 1 บททั่วไป มาตรา 1 - 14
หมวด 2 เขตอำนาจศาล มาตรา 15 - 23
หมวด 3 องค์คณะผู้พิพากษา มาตรา 24 - 31
หมวด 4 การจ่าย การโอน และการเรียกคืนสำนวนคดี มาตรา 32 - 33
1. ความหมายของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมและประโยชน์ที่จะได้รับจากการศึกษาพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
พระธรรมนูญศาลยุติธรรมจัดเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติ ซึ่งมีขอบเขตหรือเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องของการจัดวางรูปองค์กรของศาล การกำหนดอำนาจหน้าที่ของศาล, ผู้พิพากษาไว้ให้แน่นอน ทั้งนี้ เพื่อให้ศาล, ผู้พิพากษาสามารถดำเนินกระบวนพิจารณาอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ผู้ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นพระบิดาแห่งกฎหมายไทย ได้ทรงให้ความหมายของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมเอาไว้ว่า เป็นกฎหมายที่กำหนดและวางระเบียบของศาลยุติธรรม เช่น ศาลมีกี่ชั้น ศาลอะไรบ้าง อำนาจของศาล, ผู้พิพากษา การกำหนดความสัมพันธ์ของอำนาจตุลาการกับอำนาจอื่น ๆ
ประโยชน์ที่จะได้รับจากการศึกษาพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
พระธรรมนูญศาลยุติธรรม จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่มีอรรถคดีทั้งหลายที่จะได้ทราบว่าศาลนั้น ๆ มีอำนาจรับฟ้องและพิจารณาพิพากษาคดีอะไร จะได้ดำเนินการได้อย่างถูกต้อง ช่วยให้ไม่เกิดกรณีการฟ้องร้องผิดศาล ส่วนผู้พิพากษาซึ่งดำเนินกระบวนพิจารณาก็จะได้ทราบถึงอำนาจของศาลที่ตนประจำอยู่ จะได้ดำเนินการพิจารณาพิพากษาคดีให้อยู่แต่ภายในเขตอำนาจศาลและอำนาจของผู้พิพากษาตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ไม่ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยปราศจากอำนาจหรือเกินขอบอำนาจที่กฎหมายกำหนด ซึ่งศาลที่สูงกว่าอาจยกเสียได้[2]
2. ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายและขอบเขตการใช้บังคับ
พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับกฎหมายอื่น เช่น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง, ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา, พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543, พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543, พระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส พ.ศ. 2542 เป็นต้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษากฎหมายต่างๆเหล่านี้ด้วย
สำหรับขอบเขตการใช้บังคับนั้น จะนำไปใช้บังคับกับศาลยุติธรรมต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา รวมตลอดถึงศาลยุติธรรมอื่นซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเหล่านั้น ได้บัญญัติกำหนดให้นำบทบัญญัติของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมไปใช้บังคับโดยอนุโลม[3] เช่น ศาลภาษีอากร, ศาลล้มละลาย ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ, ศาลแรงงาน, ศาลเยาวชนและครอบครัว
3. ลำดับชั้นของศาลยุติธรรม
พระธรรมนูญศาลยุติธรรมฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติกำหนดให้ศาลยุติธรรมมีด้วยกันทั้งหมด 3 ชั้น ได้แก่ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา โดยมีข้อยกเว้นในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น[4]
(1) ศาลชั้นต้น เป็นศาลที่มีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีในชั้นต้น ซึ่งตาม บทบัญญัติของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมได้กำหนดไว้ 2 ส่วน[5] คือ
1) ส่วนที่ 1 ศาลยุติธรรมที่พระธรรมนูญศาลยุติธรรมฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติกำหนดไว้แล้วให้เป็นศาลชั้นต้น ได้แก่
- ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี
- ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี
- ศาลจังหวัด
- ศาลแขวง
2) ส่วนที่ 2 ศาลยุติธรรมอื่นที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดให้เป็นศาลชั้นต้น ซึ่งได้แก่
- ศาลเยาวชนและครอบครัว[6]
- ศาลแรงงาน
- ศาลภาษีอากร[7]
- ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ[8]
- ศาลล้มละลาย[9]
ศาลดังกล่าวมานี้เป็นศาลชำนัญพิเศษ เพราะผู้พิพากษาของศาลต่าง ๆ ดังกล่าว จะมีความชำนาญในการพิจารณาพิพากษาคดี ที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลนั้น ๆ เป็นพิเศษมากกว่าผู้พิพากษาของศาลอื่น ๆ โดยทั่วไป เว้นแต่ศาลเยาวชนและครอบครัว จะเป็นศาลพิเศษ มิใช่ศาลชำนัญพิเศษ เพราะผู้พิพากษาในศาลนี้มิได้มีความชำนาญในการพิจารณาพิพากษาคดีที่อยู่ในอำนาจเป็นพิเศษมากกว่าศาลอื่น ๆ เพียงแต่มีวิธีพิจารณาคดีเป็นพิเศษเท่านั้น[10]
(2) ศาลอุทธรณ์ เป็นศาลสูงชั้นกลาง ซึ่งได้แก่ [11]
1) ศาลอุทธรณ์ มีที่ตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร
2) ศาลอุทธรณ์ภาค ปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 9 ศาล ได้แก่
1) ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีที่ตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร
2) ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีที่ตั้งอยู่ ณ จังหวัดระยอง
3) ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีที่ตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร [12]
4) ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีที่ตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร
5) ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีที่ตั้งอยู่ ณ จังหวัดเชียงใหม่
6) ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีที่ตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร
7) ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีที่ตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร
8) ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีที่ตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร
9) ศาลอุทธรณ์ภาค 9 มีที่ตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร [13]
(3) ศาลฎีกา เป็นศาลสูงสุดของศาลยุติธรรม ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร มีเพียงศาลเดียว จึงไม่มีปัญหาในเรื่องของเขตอำนาจศาล
4. การแบ่งส่วนราชการเป็นแผนกหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น
ศาลยุติธรรมในแต่ละลำดับชั้น ไม่ว่าจะเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา อาจมีการแบ่งส่วนราชการภายในของแต่ละศาลออกเป็นแผนก หรือหน่วยงานที่เรียกชื่อ อย่างอื่น และจะให้มีอำนาจในคดีประเภทใดหรือคดีในท้องที่ใดท้องที่หนึ่ง ซึ่งอยู่ภายในเขตอำนาจของศาลนั้นก็สามารถดำเนินการได้ โดยการออกเป็นประกาศของคณะกรรมการ บริหารศาลยุติธรรม และจะต้องส่งไปลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาด้วย[14] เช่น การจัดตั้งแผนกคดีผู้บริโภคในศาลอุทธรณ์ภาค [15] การจัดตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค การจัดตั้งแผนกคดียาเสพติดและแผนกคดีผู้บริโภคในศาลอุทธรณ์[16] การจัดตั้งแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา[17] การจัดตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา[18] เป็นต้น
นอกจากการแบ่งส่วนราชการภายในออกเป็นแผนก หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น ตามหลักเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรมแล้ว ศาลยุติธรรมยังอาจมีการแบ่งส่วนราชการภายในออกเป็นแผนกหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายอื่นอีกด้วย เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 219 วรรคสี่ ได้บัญญัติกำหนดให้มีแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองขึ้นในศาลฎีกา หรือตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 25 ได้บัญญัติกำหนดให้จัดตั้งแผนกคดีล้มละลายขึ้นในศาลฎีกา เพื่อพิจารณาคดีล้มละลายที่อุทธรณ์ขึ้นมา หรือพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 8 วรรคสอง ได้บัญญัติกำหนดให้จัดตั้งแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวขึ้นในศาลจังหวัดทุกศาล เป็นต้น
5. คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.)
พระธรรมนูญศาลยุติธรรมฉบับปัจจุบัน ได้กล่าวถึงคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม แต่มิได้บัญญัติรายละเอียดเกี่ยวกับคณะกรรมการดังกล่าวไว้ ซึ่งรายละเอียดของคณะกรรมการฯ จะมีบัญญัติอยู่ในพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 โดยมีรายละเอียดพอสังเขป ดังนี้
(1) องค์ประกอบ
ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน
กรรมการบริหารศาลยุติธรรม ชั้นศาลละ 4 คน (รวม 12 คน)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ไม่น้อยกว่า 2 คน แต่ไม่เกิน 4 คน[19]
(2) อำนาจหน้าที่
คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม จะมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการบริหารราชการศาลยุติธรรม เฉพาะในส่วนการบริหารงานบุคคล งานธุรการ ให้เป็นไปตามระเบียบ แบบแผน ประเพณีปฏิบัติของราชการศาลยุติธรรม และมีอำนาจหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ออกระเบียบหรือประกาศ หรือมีมติเพื่อการบริหารราชการศาลยุติธรรม ในส่วนที่เกี่ยวกับงานบริหารราชการและงานธุรการของสำนักงานศาลยุติธรรม ให้เป็นไปตามนโยบายของประธานศาลฎีกา รวมทั้งมีอำนาจยับยั้งการบริหารราชการของศาลยุติธรรม หรือสำนักงานศาลยุติธรรมที่ไม่เป็นไปตามระเบียบ ประกาศหรือมตินั้นด้วย เป็นต้น[20]
6. อำนาจหน้าที่ของประธานศาลฎีกา
พระธรรมนูญศาลยุติธรรมฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติกำหนดให้ประธานศาลฎีกา มี
(1) หน้าที่ วางระเบียบราชการฝ่ายตุลาการของศาลยุติธรรม เพื่อให้กิจการของศาลยุติธรรมดำเนินไปโดยเรียบร้อยและเป็นระเบียบเดียวกัน เช่น ระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ว่าด้วยแนวปฏิบัติในการออกหมายจับและหมายค้นในคดีอาญา[21] ระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมว่าด้วยการปล่อยชั่วคราว[22] เป็นต้น และมี
(2) อำนาจ ให้คำแนะนำแก่ผู้พิพากษาในการปฏิบัติตามระเบียบวิธีการต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นโดยกฎหมาย หรือโดยประการอื่นให้เป็นไปโดยถูกต้อง[23] ทั้งนี้เนื่องจากการพิจารณาพิพากษาคดีอรรถคดีของผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม เป็นงานที่จะต้องใช้ความละเอียดรอบคอบและการกลั่นกรองจากผู้พิพากษาที่มีประสบการณ์ ดังนั้น พระธรรมนูญศาลยุติธรรม จึงได้บัญญัติให้ประธานศาลฎีกามีอำนาจสามารถให้คำแนะนำแก่ข้าราชการ ตุลาการในศาลยุติธรรมได้
สำหรับในเรื่องนี้ขอให้ทำความเข้าใจไว้ด้วยว่า เป็นเพียงอำนาจและหน้าที่บางประการของประธานศาลฎีกา ตามที่บัญญัติกำหนดไว้ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ประธานศาลฎีกาหาได้มีอำนาจหน้าที่เพียงเท่าที่กำหนดไว้ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรมแต่อย่างใดไม่ ประธานศาลฎีกายังอาจมีอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติกำหนดไว้ในกฎหมายฉบับอื่น ๆ อีกด้วย เช่น อำนาจการสั่งบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา, อำนาจการสั่งให้ข้าราชการตุลาการไปช่วยทำงานชั่วคราวในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่ราชการศาลยุติธรรมฯ ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543[24] เป็นต้น
7. สำนักงานศาลยุติธรรม
เป็นส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานอิสระ มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับงานธุรการของศาลยุติธรรม งานส่งเสริมงานตุลาการและงานวิชาการ เพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้แก่ศาลยุติธรรม รวมทั้งเสริมสร้างให้การพิจารณาพิพากษาคดีเป็นไปโดยสะดวก รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ[25] ซึ่งแต่เดิมงานดังกล่าวจะอยู่ที่กระทรวงยุติธรรม
สำนักงานศาลยุติธรรม มีเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมซึ่งเป็นข้าราชการศาลยุติธรรม และเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการในสำนักงานศาลยุติธรรม มีหน้าที่ควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งราชการของสำนักงานศาลยุติธรรม ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ โดยขึ้นตรงต่อประธานศาลฎีกา[26] การบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ประธานศาลฎีกาเป็นผู้ดำเนินการเสนอรายชื่อโดยผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) เมื่อได้รับความเห็นชอบแล้วประธานศาลฎีกาจะเป็นผู้มีอำนาจในการสั่งบรรจุและดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป โดยเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมจะมีวาระในการดำรงตำแหน่ง 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้ง เว้นแต่ในกรณีที่ประธานศาลฎีกาโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ได้มีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่งก่อนครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว[27]
8. การจัดตั้ง การยุบเลิก การเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาล
พระธรรมนูญศาลยุติธรรมฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติกำหนดเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการจัดตั้งศาล การยุบเลิกศาล การเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาล โดยให้เป็นอำนาจของเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ในการเสนอความเห็นเรื่องดังกล่าวผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) ไปยังคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงจำนวน สภาพ สถานที่ตั้งและเขตอำนาจศาลตามที่จำเป็น เพื่อให้การอำนวยความยุติธรรมต่อประชาชน เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตลอดราชอาณาจักร[28]
สำหรับในเรื่องการจัดตั้งศาล รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้บัญญัติกำหนดให้ตั้งศาลขึ้นได้ก็แต่โดยการตราเป็นพระราชบัญญัติ[29] เช่น การจัดตั้งศาลจังหวัดที่อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดำเนินการโดยตราเป็นพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลจังหวัดที่อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2550, การจัดตั้งศาลจังหวัดที่อำเภอ พิมาย จังหวัดนครราชสีมา ดำเนินการโดยตราเป็นพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลจังหวัดที่ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. 2550, การจัดตั้งศาลจังหวัดที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดำเนินการโดยตราเป็นพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลจังหวัดที่ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2550 เป็นต้น
ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาล เดิมจะดำเนินการในลักษณะหรือรูปแบบเดียวกันกับการจัดตั้งศาล คือ ดำเนินการโดยตราเป็นพระราชบัญญัติ เช่น พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลจังหวัดปากพนัง พ.ศ. 2544, พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี และศาลอาญาธนบุรี พ.ศ.2549 เป็นต้น แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลโดยการตราเป็นพระราชบัญญัติ จะต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการนาน ทำให้ไม่ทันกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่ทางการปกครอง และไม่เอื้อประโยชน์ในการอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชน ดังนั้น ในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจของศาลชั้นต้น จึงได้เปลี่ยนมาเป็นดำเนินการโดยตราเป็น พระราชกฤษฎีกา[30] ซึ่งจะช่วยทำให้การดำเนินการเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจของศาลชั้นต้น สามารถกระทำได้อย่างคล่องตัวยิ่งขึ้น เช่น พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงสงขลา พ.ศ. 2550, พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงลพบุรี พ.ศ. 2549, พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงอุบลราชธานี พ.ศ. 2547[31] เป็นต้น
นอกจากนั้นก็ยังมีในเรื่องของการยกฐานะศาล ซึ่งจะดำเนินการโดยการตราเป็นพระราชบัญญัติเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น พระราชบัญญัติยกฐานะศาลแขวงดุสิต ศาลแขวงตลิ่งชัน ศาลแขวงปทุมวันและศาลแขวงพระโขนงเป็นศาลจังหวัด พ.ศ. 2549, พระราชบัญญัติ ยกฐานะศาลแขวงแม่สะเรียง ศาลแขวงแม่สอด ศาลแขวงตะกั่วป่า และศาลแขวงหลังสวน เป็นศาลจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2502, พระราชบัญญัติยกฐานะศาลแขวงมีนบุรีเป็นศาลจังหวัด พ.ศ. 2480 เป็นต้น
9. การกำหนดจำนวนผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม
พระธรรมนูญศาลยุติธรรมฉบับปัจจุบัน ได้กำหนดให้คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดจำนวนผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม ให้เหมาะสมตามความจำเป็นแก่ราชการ[32] ไม่ว่าจะเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา ทั้งนี้เนื่องจากท้องที่หรือจังหวัดต่าง ๆ ที่แต่ละศาลตั้งอยู่และรับผิดชอบจะมีอาณาเขตที่ไม่เท่ากัน ตลอดจนความหนาแน่นของจำนวนประชากรก็แตกต่างกัน กรณีดังกล่าวย่อมมีผลต่อจำนวนของคดีที่แต่ละศาลจะต้องรับผิดชอบในการพิจารณาพิพากษา ซึ่งคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมจะเป็นผู้ที่กำหนดจำนวนของผู้พิพากษาที่จะพึงมีในแต่ละศาล ให้เพียงพอและเหมาะสมกับสัดส่วนปริมาณของคดีที่แต่ละศาลรับผิดชอบ[33]
เช่น ประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม เรื่องกำหนดจำนวนผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม ลงวันที่ 29 มีนาคม 2544 กำหนดจำนวนผู้พิพากษาไว้ ดังนี้
ผู้พิพากษาศาลฎีกา จำนวน 123 อัตรา
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ จำนวน 112 อัตรา
ผู้พิพากษาศาลจังหวัดนครปฐม จำนวน 74 อัตรา
ผู้พิพากษาศาลจังหวัดนครปฐมแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว จำนวน 5 อัตรา
ผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดราชบุรี จำนวน 7 อัตรา
1. บทบัญญัติในพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มีทั้งสิ้น 33 มาตรา แบ่งออกเป็น 4 หมวด ดังนี้
หมวด 1 บททั่วไป มี 14 มาตรา
หมวด 2 เขตอำนาจศาล มี 9 มาตรา
หมวด 3 องค์คณะผู้พิพากษา มี 8 มาตรา
หมวด 4 การจ่าย การโอน และการเรียกคืนสำนวนคดี มี 2 มาตรา
2. ในเรื่อง “บททั่วไป” ได้กล่าวถึง ศาลยุติธรรม มี 3 ชั้น (ม.1) คือ
(1) ศาลชั้นต้น (ม.2) ได้แก่
- ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี
- ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี
- ศาลจังหวัด (มีทุกจังหวัด บางจังหวัดอาจมี 2 ศาล)
- ศาลแขวง (จัดตั้งขึ้นตาม พรบ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาในศาลแขวง พ.ศ. 2499)
- ศาลยุติธรรมอื่นที่ พรบ.จัดตั้งศาลนั้นกำหนดให้เป็นศาลชั้นต้น
(2) ศาลอุทธรณ์ ( ม.3) ได้แก่
- ศาลอุทธรณ์
- ศาลอุทธรณ์ภาค ซึ่งมีทั้งสิ้น 9 ภาค
(3) ศาลฎีกา มีศาลเดียว ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร
3. การแบ่งส่วนราชการภายในของศาลยุติธรรม และการกำหนดเขตอำนาจของแต่ละศาลนั้น ให้เป็นอำนาจของ “คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.)” โดยต้องออกเป็นประกาศคณะกรรมการฯ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ได้ต่อเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
4. ประธานศาลฎีกา มีอำนาจหน้าที่ ( ม.5) ดังนี้
(1) วางระเบียบราชการฝ่ายตุลาการของศาลยุติธรรม
(2) ดูแลให้ผู้พิพากษาปฏิบัติตามระเบียบวิธีการต่างๆ ที่กำหนดขึ้นให้เป็นไปโดยถูกต้อง
5. ให้จัดตั้งสำนักงานศาลยุติธรรมขึ้นในศาลยุติธรรม โดยมีเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมเป็นผู้บังคับบัญชา (ม.6) มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
(1) บริหารงานธุรการในศาลยุติธรรม
(2) ดำเนินการเกี่ยวการจัดตั้ง การยุบเลิก หรือการเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาล เพื่อขอความ
เห็นชอบต่อ ก.บ.ศ. ก่อนเสนอขออนุมัติต่อ ครม.
6. กำหนดให้มีตำแหน่งและจำนวนตำแหน่งในศาลยุติธรรม ( ม.8) ดังต่อไปนี้
(1) ศาลฎีกา
- ประธานศาลฎีกา 1 คน
- รองประธานศาลฎีกา มากกว่า 1 คน แต่ไม่เกิน 6 คน
(2) ศาลอุทธรณ์
- ประธานศาลอุทธรณ์ 1 คน
- ประธานศาลอุทธรณ์ภาคๆ ละ 1 คน (ทั้งหมดมี 9 คน)
- รองประธานศาลอุทธรณ์ 1 คน
- รองประธานศาลอุทธรณ์ภาคๆ ละ 1 คน (มีทั้งหมด 9 คน)
(3) ศาลชั้นต้น
- อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น ศาลละ 1 คน
- รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น ศาลละมากกว่า 1 คน แต่ไม่เกิน 3 คน
ทั้งนี้ การแต่งตั้งรองประธานศาลฎีกาและรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น ให้มากกว่า 1 คน แต่ไม่เกิน 6 คน (รองประธานศาลฎีกา) แต่ไม่เกิน 3 คน(รองอธิบดีฯ,รองประธานศาลอุทธรณ์,รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค)ตาม ม.8 ว.1 ตอนท้ายนั้น ต้องเป็นมติของ ก.บ.ศ. โดยความเห็นชอบของประธานศาลฎีกา
หมายเหตุ ก.บ.ศ.หมายถึงคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม
[1] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2550, พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2551
[2] ชุมพล จันทราทิพย์, พระธรรมนูญศาลยุติธรรม. พิมพ์ครั้งที่ 12. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548) หน้า 4 – 6.
[3] บุญเพราะ แสงเทียน, พระธรรมนูญศาลยุติธรรม. (กรุงเทพฯ : บริษัท วิทยพัฒน์ จำกัด, 2544) หน้า 22.
[4] พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 1
[5] พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 2
[6] พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 8 วรรคสี่
[7] พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 12
[8] พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 11
[9] พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 11
[10] บุญเพราะ แสงเทียน, พระธรรมนูญศาลยุติธรรม. (กรุงเทพฯ : บริษัท วิทยพัฒน์ จำกัด, 2544), หน้า 41.
[11] พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 3
[12] พระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน ที่ตั้ง เขตศาล และวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์ภาค (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2543 มาตรา 3
[13] พระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน ที่ตั้ง เขตศาล และวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์ภาค (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2548 มาตรา 3
[14] พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 4
[15] ประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม เรื่องการจัดตั้งแผนกในศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2550
[16] ประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม เรื่องการจัดตั้งแผนกในศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2549
[17] ประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม เรื่องการจัดตั้งแผนกในศาลฎีกา ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2547
[18] ประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม เรื่องการจัดตั้งแผนกในศาลฎีกา (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2548
[19] พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 10
[20] พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 17
[21] ระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ว่าด้วยแนวปฏิบัติในการออกหมายจับและหมายค้นในคดีอาญา พ.ศ.2545 ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2545
[22] ระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ว่าด้วยการปล่อยชั่วคราว พ.ศ. 2548 ลงวันที่ 21
ตุลาคม 2548
[23] พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 5
[24] พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 14, 21
[25] พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 5,6
[26] พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 8
[27] พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 22 (1)
[28] พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 6
[29] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 198
[30] พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 16 วรรคหนึ่ง
[31] พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 3 วรรคท้าย
“การเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวง ให้ประกาศโดยพระราชกฤษฎีกา”
[32] พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 7
[33] ชุมพล จันทราทิพย์, พระธรรมนูญศาลยุติธรรม. พิมพ์ครั้งที่ 12. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548), หน้า 30.
0 comments :
Post a Comment